ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 หรือเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นใดก็ตาม การบริจาคเงิน หรือมอบสิ่งของให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้น เป็นเพียงการช่วยเหลือเพื่อเยียวยาเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่การเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ ย่อมสร้างเกราะป้องกันให้เรายังสามารถใช้ชีวิตอยู่แบบพึ่งพาตัวเองได้
พาตัวเองไปให้ทันโลก และเชื่อมโยงกลับมาให้ได้ การติดตามสถานการณ์ความเป็นไปในบริบทของโลก ทำให้เรามีคลังความรู้ที่กว้างขึ้น แน่นอนว่าเราสามารถถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศได้ โดยที่ไม่ต้องไปตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ แล้วเชื่อมโยง นำมาปรับใช้ ย่อมดีกว่าการรอให้เกิดกับตัวเองก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นที่จะเรียนรู้
พาตัวเองไปให้สุดในสิ่งที่ทำ แน่นอนว่าถ้าเราทำงานอยู่ในบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตในครั้งนี้ จนกระทั่งองค์กรประกาศข่าวร้ายว่าต้องปลดพนักงานบางส่วนออก แต่หากเราเป็นคนโดดเด่นในหน้าที่ที่รับผิดชอบ ทั้งองค์ความรู้ ประสบการณ์ ความใส่ใจ และอะไรอีกมากมายที่คงทำให้การหาคนมาแทนที่เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ไม่มีองค์กรไหนอยากจะปล่อยคนแบบนี้ไปแน่นอน
พาตัวเองไปอยู่ในสถานะที่ “ดีกว่า” จนเป็นนิสัย การไม่ยอมปล่อยให้คำว่า “ดีแล้ว” มาหยุดคำว่า “ดีกว่า” นั้น คือหนึ่งในคุณสมบัติของผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถปรับตัวท่ามกลางสภาวะวิกฤตได้ แต่จะทำเช่นนั้น เราต้องไม่รอแต่คำสั่ง หรือรอให้เกิดสถานการณ์คับขันมาบีบบังคับให้ต้องเริ่มขยับตัว แต่ต้องมีทัศนคติที่ถามหาการเติบโต (Growth Mindset) ไม่ยึดติด (Fixed Mindset) และมีความสุขที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ
การพึ่งพาตัวเองได้ในสภาวะวิกฤต อาจเป็นมากกว่าการไม่สร้างภาระให้ผู้อื่น แต่มันอาจหมายถึงการก้าวข้ามจากสถานะของ “ผู้รับ” เป็น “ผู้ให้” ยิ่งแต่ละคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากเท่าไหร่ (Better Citizen) เราคงได้เห็นสังคมที่แข็งแรงขึ้นเท่านั้น (Better Society) และนั่นก็คงเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สถานะที่ดีกว่าโดยมีเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ภาพ : FOX5DC #BetterCitizen #BWi #BetterWorld #3Ps #NetPositiveImpact
Comments